แพทย์เตือนฉีด "กลูต้า" สารเร่งผิวขาว อันตรายเสี่ยงติดเชื้อ-ถึงช็อก!

รายงานพิเศษ

หลังกระแสการ ฉีดสารกลูต้าไธโอน ภายใต้ความเชื่อทำให้ผิวขาวสวยยังระบาดในสังคมไทย โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและคนทำงาน ที่คิดว่าผิวขาวคือคนสวย และจะประสบความสำเร็จมากกว่าผู้อื่นนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง 

ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากความรู้ที่ว่า สารกลูต้าไธโอนที่ทางการแพทย์ใช้รักษาโรค อื่นๆ เมื่อใช้ไปแล้วจะทำให้ผิวขาวขึ้น จึงมีผู้นำมาใช้ฉีดให้ผิวขาว โดยโฆษณาเกินความจริงว่า เมื่อฉีดแล้วผิวจะขาวกระจ่างใสเหมือนกับมีแสงออร่า และล่าสุดมีนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ทั้งกินและฉีดยากลูต้าไธโอน จนถึงขั้นตับพัง หายใจเองไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาในสังคมออนไลน์รับรู้กันว่า มีโฆษณาขายสารทำผิวขาวกันอย่างแพร่หลาย และมีหญิงสาวหลายคนตกเป็นเหยื่อ

กลูต้าไธโอน (Glutathinone)

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย สามารถสร้างขึ้นเองจากอาหารประเภทโปรตีน ไข่ และนม รวมถึงผลไม้ประเภทอโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับ พบได้ทุกเซลล์ในร่างกาย เป็นสารที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid มีหน้าที่ คือ

1.ช่วยต้านอนุมูลอิสระ โดยมีสารต้านปฏิกิริยา อ็อกซิเดชั่น ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย

2.ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และ

3.ช่วยขจัดสารพิษ สร้างเอ็นไซม์ ชนิดต่างๆ 

ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้สารกลูต้าไธโอน หรือแพ้สารฆ่าเชื้อ ทั้งนี้ มีรายงานในต่างประเทศว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนมากเกินไป จะเกิดอาการช็อก หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้ และยังพบว่าสารกลูต้าไธโอนที่ใช้ในปัจจุบัน ส่วนมากนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นอกจากนี้ พบว่ามียาปลอมที่ผลิตในเวียดนามและจีน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง และในวารสารทางการแพทย์สหรัฐอเมริการะบุว่า สาร กลูต้าไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา 

ปัญหาที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ การขาย กลูต้าไธโอนตามเว็บไซต์ในราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท อวดอ้างสรรพคุณแนะนำวิธีฉีด จนทำให้เด็ก วัยรุ่น และคนที่อยากมีผิวขาวเข้าใจผิด ซื้อไปทดลอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและปัญหาอื่นๆ ตามมา

ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่ให้แพทย์ใช้การรักษาด้วยวิธีนี้ และเตือนประชาชน ไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใด ที่จะทำให้ผิวขาวได้ถาวร